sak yant

สัก ยันต์, อาจารย์สัก, วิชาอาคม, ยันต์ทุกชนิด, ยันต์ตะกรุด, เสื้อยันต์, ผ้ายันต์ พระเครื่องง คงกรัพันชาตรี, ไสยศาสตร์, พุทธคุณ เกจิอาจารย์ พระฤษี108น สัตว์หิมพานต์ รามเกียรติ์

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

สักยันต์ที่อุบล อาจารย์อุ้ยเก้ายอด

อาจารย์อุ้ย เก้ายอด 
(เอามาจาก http://www.mettamahaniyom.com/?p=25 มาแชร์ครับ)

  

     ชื่อสุทธิโรจน์ พร้อมเพียงฤา เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2530 บ้านหนองอะลาง จังหวัดศรีสะเกษ บิดาเป็นคนจังหวัดปทุมธานี มารดาเป็นคนที่จังหวัดศรีสะเกษ คุณตาท่านเป็นผู้ใหญ่บ้าน ชื่อตาประชา ดวงใจ เป็นเพื่อนรุ่นน้องของหลวงปู่เกลี้ยง เตชธมฺโม วัดบ้านโนนแกด จ.ศรีสะเกษ ตาของอาจารย์อุ้ยนั้นสมัยท่านยังมีชีวิตเป็นที่เลื่องลือในด้านวิชาอาคมท่าน หนึ่ง จนเป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้านหนองอะลางและหมู่บ้านใกล้เคียงในแถบนั้น ทั้งทางคงกระพัน ปราบผี สมัยหลวงปู่เกลี้ยงเป็นฆราวาสนั้นต่างไปมาหาสู่กับตาของอาจารย์อุ้ยเป็น ประจำ ส่วนคุณพ่อของท่านอาจารย์ก็เป็นคนปทุมธานีมีเชื้อรามัญ(มอญ) พ่อของอาจารย์อุ้ยก็ไม่น้อยหน้า ท่านก็เป็นอาจารย์และหมอยาเช่นกัน ท่านมีความชำนาญด้านอักขระเลขยันต์มาก และยังสามารถรักษาคนขาหัก แขนหัก งูสวัด ด้วยยาสมุนไพรอีก เป็นที่เลื่องลือในตำบลซำ และตำบลโพนข่า


ปู่สิงห์ อาจารย์ท่านแรก

    อาจารย์อุ้ยจึงสนใจในวิชาไสยเวทย์เป็นอย่างมากเพราะมีตัวอย่างดีๆให้เห็น เป็นต้นแบบถึง2ท่าน คือคุณตาและคุณพ่อ เลยคิดอยากจะศึกษาวิชาคาถาอาคม เวทย์มนต์ต่างๆ แต่บิดาท่านก็ไม่สอนให้ บอกว่ายังเด็กไป ถึงจะสอนให้ก็สอนให้แบบตรงๆไม่ได้(คนเรียนวิชาอาคมสมัยก่อนท่านจะถือมาก โดยจะไม่สอนวิชาให้กับลูกตนเอง) ซึ่งตอนนั้นอาจารย์อุ้ยมีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น ในปีนั้นเองคุณตาได้เสียชีวิตด้วยโรคชรา แต่อาจารย์อุ้ยก็ไม่ละความพยายาม พออายุได้9ขวบ ก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น จึงตัดสินใจขโมยตำราอักขระของพ่อมาหัดอ่าน หัดเขียน จนขึ้นใจ แต่ยังไม่มีความเข้าในการผสมคำ ก็ฝึกเขียนอยู่อย่างนั้นมาตลอด จนเขียนได้สวยงามเลยทีเดียว จนอายุได้15ปี คุณพ่ออาจารย์อุ้ยได้เสียชีวิต ต่อมาไม่นานคุณแม่ก็เสียชีวิตตามกันไปอีก ในปีเดียวกันนั่นเอง อาจารย์จึงต้องมาอยู่กับยาย หลังจากนั้นประมาณอยู่กับคุณยายได้ประมาณ1ปี ได้ หนีออกจากบ้านเพราะน้อยใจคุณยายมาพักกับเพื่อนที่อยู่ในตัวเมือง หาเงินส่งเสียตัวเองจนเรียนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ร.ร.ศรีสะเกษวิทยาลัย ตอนเรียนม.4อยู่นั้น ยังไม่ลดละความตั้งใจมั่นที่จะหาครูบาอาจารย์เพื่อขอเรียนวิชาไสยเวทย์จนได้ พบกับ ปู่สิงห์ ตอนนั้นท่านอายุ 82 ปี อยู่ อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ ท่านผู้นี้เป็นศิษย์ของหลวงปู่มุม แห่งวัดปราสาทเยอร์เหนือ จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอศึกษาวิชา และคาถาอาคมต่างๆซึ่งท่านก็เมตตารับไว้ และรักใครเสมือนลูกหลาน ได้ศึกษาทั้ง วิชาอ้อป่อง วิชาผาบผี(ปราบผี) วิชาทำตะกรุดโทน วิชาทำสีผึ้ง วิชาทำตะกรุดกันผีกันพราย ครบสูตร เรียนอยู่กับท่านไปๆมาๆ(เสาร์-อาทิตย์-ปิดเทอมจะไปตลอด)เรียนกับท่านเป็น เวลา2ปี จนหมดสิ้น จนท่านถึงกับออกปากเลยว่า เด็กแค่นี้ทำไมความมุ่งมั่น ความตั้งใจสูงมาก หมดใส้หมดพุงปู่แล้วล่ะ


บรมครูปู่องค์ลาย
จากนั้นก็ยังไม่พอสำหรับคนที่ขวนขวายอยากรู้อยากศึกษา จึงเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อจะได้ความรู้เพิ่มเติมอีก จนได้มาพบกับพระธุดงค์ท่านหนึ่ง ท่านชื่ออาจารย์ลาย ประจวบเหมาะกับที่ท่านมาพักกับพระน้องชายท่านที่ วัดบ้านหนองเตย อ.พยุห์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีเพื่อนบอกเล่าให้ฟังจึงอยากไปพบท่าน จึงเดินทางไปเพื่อจะได้ขอศึกษาวิชาด้วย อาจารย์ท่านนี้ทำตัวแปลกๆ คือสักลายทั้งตัว จีวรก็ขาด ปะแล้วปะอีก เห็นครั้งแรกก็งุนงงสงสัย จึงได้ไปขอท่านว่าอยากสัก อยากฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน แต่ท่านก็ปฏิเสธไม่รับเป็นศิษย์ ไม่สักให้ แต่อะไรก็ช่างครับ ความพยายามเท่านั้น จากนั้นอาจารย์อุ้ยก็ไป-มาหาท่านตลอด 2 เดือนครับ ท่านก็ยังไม่สัก ไม่รับเป็นศิษย์ อาจารย์อุ้ยก็ไม่สนใจก็ไปอย่างนั้นแหละ จนวันหนึ่งท่านมองเห็นความพยายามของอาจารย์อุ้ย อาจารย์อุ้ยก็แกล้งทำอุบาย โดยเขียนตัวขอมไปให้ท่านดูว่าที่เขียนนิถูกไหม ท่านดูท่านก็ว่าผิด ไม่ถูก ยังผสมไม่เป็น ท่านจึงเขียนให้ดู สอนให้ผสม สอนสูตรเรียกอักขระ เลขยันต์ต่างๆ สอนวิชาสักยันต์ สอนยันต์ต่างๆ ที่ท่านรู้ การเดินยันต์ต่างๆรวมถึงวิชาที่ท่านได้ศึกษามาทั้งหมดครับ ผมจึงได้ขึ้นขันธ์ขอเป็นลูกศิษย์แบบสมบูรณ์ ท่านก็รับแบบเต็มใจ ศึกษาอยู่กับท่านเป็นเวลา2ปีเช่นกันครับ จนท่านไว้วางใจ ให้จารตะกรุดแทนบ้าง ถักตะกรุดแทนบ้าง จนถึงสักน้ำมันแทนแล้วท่านก็จะเป่าให้ จนเมื่อท่านเห็นว่าเวลาสมควร แล้วท่านจึงครอบครูให้ครับ โดยมีด้วยกัน2คนคืออาจารย์อุ้ยและอาจารย์ป้อ ที่ได้ครอบในวันเดียวกันเพื่อประสิทธิ์ประสาทวิชาทั้งหมดให้ (อ.อุ้ยกับ อ.ป้อ เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน) จากนั้นท่านก็จะเข้าป่าหาความวิเวกโดยไม่มีใครรู้ข่าวคราวท่านจนปัจจุบันนี้ ก็ล่วงมา8ปีแล้ว


ตั้งแต่อาจารย์อุ้ยได้รับการครอบครูจาก อาจารย์ลายแล้ว ก็ได้ทำการสักให้กับเพื่อน กับรุ่นพี่ที่รู้จัก จนเกิดประสบการณ์เป็นที่โจทย์ขานเลยทีเดียว จนมีลูกศิษย์ตั้งแต่อาจารย์อุ้ยอายุ18 ปี เกือบ50คน ที่ จ.ศรีสะเกษ


พ่อจาน ศิษย์เอกหลวงปู่บุญมี โชติปาโล

    หลังจากนั้นไปเดินทางมาทำงานที่ จ.อุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ.2550 ก็ได้เสาะหาครูบาอาจารย์ จนได้พบกับพ่อจาน บ้านาเมือง ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่บุญมี โชติปาโล พระเกจิชื่อดังของเมืองอุบล อาจารย์อุ้ยก็ได้ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านพ่อจาน พ่อจานได้ถ่ายทอดสรรพวิชา ของท่านให้อาจารย์อุ้ยโดยไม่หวงแหน อาทิ วิชาธรรมบารมี30ทัศ วิชาแคล้วคลาด วิชามหาเสน่ห์ ผูกหุ่น ฝังรูปฝังรอย วิชาทำเทียนเรียกจิต วิชาลงใบรักซ้อนเรียกจิต วิชาทำตะกรุดสาริกาคู่ วิชามหาลาภ และวิชาเอกของท่าน ที่หลวงปู่บุญมีจะใช้ประจำ ทำให้ประชาชนมาที่วัดท่านมากมาย นั่นก็คือ วิชานกการเวก เรียนกับท่านเป็นเวลา1ปี ก็ศึกษาจนรู้สิ้น


หลวงปู่จอม นาคเสโน

    ปี พ.ศ. 2551 อาจารย์อุ้ยได้เดินทางไปกราบนมัสการ หลวงปู่จอม นาคเสโน จ.อำนาจเจริญ ซึ่งท่านเก่งมากในวิชาโชคลาภ พอเห็นหลวงปู่จึงเกิดศรัทธา ขอเรียนวิชาปิดถุงเงิน เปิดทางทรัพย์ ซึ่งเป็นวิชาโชคลาภ ที่แปลกอีกวิชาหนึ่ง คือ ท่านจะใช้เหล็กจารหรือปากกา ขีดเส้นที่ฝ่ามือเพื่อเป็นการปิดถุงเงิน ท่านว่าพอหามาได้จะได้ไม่รั่วไหลไปไหน แล้วท่านก็สวดคาถาเจ็ดตัน เพื่อทำการปิด จากนั้นก็สวดเรียกเงิน-เรียกทอง-เรียกโชค-เรียกลาภ แล้วจึงทำการสวดวิชาคาถาเปิดทางทรัพย์รับโชค รับเงิน อาจารย์อุ้ยจึงได้ศึกษาทั้งคาถาและเคล็ดวิชา หลวงปู่ท่านก็เมตตาประสิทธิ์วิชานี้ให้โดยไม่หวงเลยแม้แต่น้อย


    พอได้วิชาจากหลวงปู่จอมแล้ว อาจารย์อุ้ยท่านคิดว่ายังไม่จนสิ้นหรอกสำหรับวิชาไสยศาสตร์ จึงเดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อไปขอตำราวิชาของคุณตาอาจารย์อุ้ยกับคุณยาย คุณยายก็นำออกมาให้ดูให้ศึกษา แถมยังสอนเคล็ดบางอย่างที่คุณตาเคยบอกเล่าให้คุณยายฟังอีก แต่ก็ยังถือว่าไม่ครบถ้วนดีนัก จึงถามยายว่าวิชากลุ่มนี้นอกจากคุณตาแล้วใครได้เรียนได้ศึกษาไว้บ้าง คุณยายเลยแนะนำว่ายังมีตาสิทธิ์อีกคน ซึ่งตาสิทธิ์นี้เป็นน้องชายแท้ๆของคุณยายนี่แหละ จึงไปขอศึกษาวิชาเพื่อเก็บรักษาไว้ ตาสิทธิ์ก็สอนวิชาให้ทั้งหมด ถึงจะไม่ได้เรียนโดยตรงกับคุณตา แต่ก็ถือว่าครบถ้วนขบวนความ สืบสานวิชาประจำตระกูลอย่างสมบูรณ์ เพราะวิชาที่คุณตาได้ศึกษามานี้ท่านก็ได้เรียนมากจากพ่อตาของท่าน นั้นก็คือคุณพ่อของคุณยาย จึงสามารถเรียกว่าวิชาประจำตระกูลก็คงไม่ผิด


หลวงปู่เกลี้ยง เตชธมฺโม

    จากนั้นก็ไปขอความเมตตาจาหลวงปู่เกลี้ยงโดยขอขึ้นของรักษาด้วย และขอขึ้นธรรมโองการจักราวุธพระเจ้าห้าพระองค์ จากหลวงปู่ด้วย จากนั้นก็ได้วิชาคาถาบางส่วนจากท่านมาพอสมควร เพราะท่านก็สนิทสนมกับทางครอบครัวอาจารย์อุ้ยพอสมควร


    พ่อสุพรรณ

    จนถึงพ.ศ.2552 ได้ทำการสักยันต์ให้ลูกศิษย์จนมีชื่อเสียงที่ จ.อุบลราชธานี และได้ลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นใน จ.อุบลฯ จากได้ก็ได้มาพบกับอาจารย์สุพรรณ ที่ อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ ท่านอาจารย์ผู้นี้เป็นสหายธรรมของหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย จ.อุบลฯ และท่านฤๅษีบัน อ.เหล่าเสือโก้ก จ.อุบลฯ ท่านอาจารย์สุพรรณก็อบรมสั่งสอนอาจารย์อุ้ยก่อน แล้วก็รับอาจารย์อุ้ยเป็นศิษย์ และก็ถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆให้โดยไม่ปิดบังอำพลางแม้แต่น้อย อาจารย์ท่านนี้จะเก่งในการตะกรุดเป็นอย่างมาก มีความเชี่ยวชาญในวิชาเดินธาตุเป็นที่สุด ทั้งเมตตามหานิยมก็ไม่เป็นรองใคร วิชาที่ท่านสอนก็มี วิชากั้งปัง วิชาเดินธาตุ ตั้งธาตุ หนุนธาตุ สอดธาตุ วิชาฝังตะกรุด วิชาทำตะกรุดกั้งบัง วิชาทำตะกรุดหนังเสือ วิชาทำตะกรุดมหาอำนาจ วิชาตะกรุดสาลิกาโทน(วิชานี้ท่านก็หาเป็นรองผู้ใด) วิชามหาเสน่ห์ต่างๆ ทั้งเรียกผัว-เรียกเมียคืนกลับหากัน และวิชาอื่นๆอีกมากมาย อันไหนที่ท่านรู้ท่านก็สอนอาจารย์อุ้ยทั้งหมดอย่าไม่หวงแหน

ปี พ.ศ.2553 อาจารย์อุ้ยมาได้พบพระอาจารย์ สวัสดิ์ ภูมิสาโร และเกิดศรัทธายิ่งต่อพระอาจารย์อยากฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ท่านก็เมตตาสอนเคล็ดวิชา คาถามหาเสน่ห์ให้ในบางส่วน แต่สิ่งที่ท่านสอนนั้นพิเศษและพิสดารมาก ทั้งเคล็ดวิชาต่างๆพอสมควร พระอาจารย์บอกอาจารย์อุ้ยว่าต้องมีสมาธิและพลังจิตให้มั่นคงถึงจะกระทำได้ เช่นท่าน แต่จริตที่อาจารย์อุ้ยได้เรียนมาแต่เดิมนั้นจะหนักไปทางคงกระพันชาตรีซะ มากกว่า จึงต้องปรับสภาวะจิต ให้เป็นเมตตาเสียก่อน ท่านถึงจะสอนให้ทั้งหมด


    ปีพ.ศ.2553 อาจารย์อุ้ยจึงได้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายหลายอาชีพ ทั้งข้าราชการ พ่อค้า-แม่ค้า เข้ามาทำการสักยันต์ เป็นจำนวนมาก ก็ต่างมีประสบการณ์ดีทั้งนั้น ทั้งแคล้วคลาด ทั้งโชคลาภค้าขายก็มีอยู่ไม่น้อย และยังได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เพื่อทำการสักยันต์ให้ลูกศิษย์ที่นั่นอยู่บ่อยๆ


นับได้ว่าอาจารย์อุ้ยเป็นอาจารย์ฆราวาสที่ อายุน้อย ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งก็ว่าได้ เพราะปัจจุบันอาจารย์อุ้ยอายุเพียง24ปีเท่านั้น ก็มีลูกศิษย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างมากมาย เพราะเกิดประสบการณ์กันถ้วนหน้า ทั้งแคล้วคลาด เมตตา โชคลาภ ค้าขายดี เพราะอาจารย์อุ้ยท่านบอกว่าเมื่อเขามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์เราแล้ว เราก็ต้องนั่งสมาธิแผ่กุศลให้ลูกศิษย์ทุกคนให้มีความสุข ความเจริญ โดยทั่วกัน ลูกศิษย์เหล่านั้นจะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตเสมอ อีกทั้งยังสามารถรักษาตนให้พ้นจากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้อีก และต้องนั่งแผ่ให้ลูกศิษย์ทั้งหลายทุกวัน ทุกลมหายใจ


ภาพอาจารย์อุ้ยเป็นผู้ช่วย พ่อครูโหรยูร ศิษย์ครูเทพ ในงานไหว้ครูพระอาจารย์สวัสดิ์ ภูมิสาโร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธาน

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

ไหว้ครู พศ 2554 อาจารย์ต๋อยดาบส วัดทองใน

เชิญลูกศิษย์ อ.ต๋อย มารวันไหว้ครู อ.ต๋อยก็จัด วันที่ 6-7 มีนา 2011
กรุณามาแต่เช้าครับ
ที่อยู่
อาจารย์ต๋อยดาบส วัดทองใน 25 ซอยอ่อนนุช กทม โทร0899963745



















กลับไปที่หน้าแรก

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ตำนานสักยันต์ภาคอังกฤษ

ขอโพสท์อัปเดทหน่อยครับ

ผมขอแภลงข่าวว่า ตอนนี้ผมได้เขียนตำนานสักยันต์ภาษาอังกฤษเล่มแรกในโลกครับ มี300หน้าเกี่ยวกับการสักยันต์ ประวัติ หลวงพ่อเปิ่น และ วัดบางพระ บวกอีกเยอะแยะที่เกี่ยวข้องกะ วิชาไสยศาสตร พุทธคุนฯฯ ของไทยทั้งนั้นครับผม ทั้งเรื่องถ่ายทอดความหมายภาพยันต์ต่างๆ, วิธีอ่านเขียนอักขระขอม, ของขึ้น, อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำไสยศาสตร์ (เช่น ไม่ครู ขันต์น้ำมนตร์, มีดหมอฯฯ)มีเรื่องพระฤษีด้วยครับ มีสืบทอดวิชาสร้างกุมารทอง.... มีมากมาย

ต่อไปผมก็ เปิดนิตยสาร อีซีน ภาคอังกฤษ แต่ละสองเดือน ประมาณ70หน้า ว่ารู้สึกว่ามีอีกเยอะที่ต้องบอก.

ฉะบับแรกออกแล้วมีชาวสิงคโปร์ส่วนใหณ่ที่ได้ซื้อกัน ฝรั่งก็ซื้อด้วย แต่ก็น้อยกว่าชาวเมืองสิงค์ ฉะบับแรกผมได้เล่าเรื่องที่ยังไม่ไดเล่าในหนังสือคำภีร์ยันต์หนังสือแรก เช่น สืบทอดวิชาทำน้ำมันพราย พระพุทธรูปแปดสมัย (เป็นซีรีส ที่จะเปิดให้ชมพระพุทธรูปไทยที่สำคัญของแต่ละสมัยแห่งศิลปะไทยพุทธ

เปิดตำนานพระขุนแผน เล่าทั้งเรื่องพระราชนิพนธ์ ทั้งเรื่องตัวจริงของประวัติศาสตร์ รวมอธิบายการแต่กต่างที่มรอยู่ระหว่างพระราชนิพนธ์และความจริง เรื่องความเกี่ยวพันธ์ระหว่างขุนแผน และ การสร้างกุมารทอง ก็เปิดให้เห็นที่คนคิดผิดกัน ท้ายก็ย้ายไปเล่าตำนานพระเครื่องรางชื่อว่า พระขุนแผน และอธิบายว่า ทำไมถึงพระขุนแผนก็เรียกว่ายังนั้น สืบทอดจุดสังเขตความแท้ของพระขุนแผนบ้านกร่าง

มี ตำนานพระสมเด็จฯฯ ตำนานนี้เป็นซีรีส์ทุกฉะบับก็เขียนต่อ ฉะบับแรกมี30หน้าเกี่ยวกะ พระสมเด็จอย่างเดียว และมีอีกมีมากมายแหละ เสียดายไม่ได้ทำภาษาไทยว่าในที่สุดได้เขียนข้อมูลที่แม้ว่าภาษาไทยก็หายากเหกมือนกันครับ แต่ภาษาไทยของผมๆไม่กล้าว่ากลัวไม่สง่าครับ
มีภาพให้แอบดูหนังสือผมดูแบบไหนข้างล่างนี้


ใครๆที่มีเพื่อนหรือว่ายาติที่เป็นต่างชาติและอยากให้เขารู้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทยก็แนะนำอีบุ๊กผมก็ไม่พลาดแน่ครับ ผมหาหุ้นส่วนลงทุนพิมพ์เป็นหนังสือแท้ครับ ถ้ามีผู้สนใจจะลงทุนกะผมพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษครับ ผมว่า100เลมก็หมดเร็วๆ ติดต่อได้ที sak yant @ windowslive (ดอทคอม)

อยากพิมพ์ซะพันเล่มเอาไปขายให้กะร้านขายหนัวสือฝรั่ง และมีสำนักสักก็จะเอาไว้ด้วย ว่า เวลาต่างชาติ์มาสักก็จะมีข้อมูลภาษาอังกฤษให้อ่าน แต่พูดจริงครับ ผมเป็นคนแบบ จะขายให้อาจารย์สักไม่เป็น ก็จะให้ฟรี อิอิ ว่าผทเป็นอาจารย์สักเหมือนกัน ก็ถือว่าเหมือนยาติพี่น้องกัน การเป็นช่างสักที่เมืองนอก,ช่างส่วนใหญ่ก็จะสนิทสนมกัน ว่าอาชีพเดี่ยวกัน ในโลกแก่งการสักไทย ไม่ว่าสากลหรือว่าเล่นของ, อาจารย์สักทั้งหลายไม่ค่อยจะแวะไปหาอาจารย์อื่น คือไม่คบกันเลย เคยเป็นอย่างนั้นเมืองนอกเหมือนกัน แต่ก็เคยมีช่างกล้าหาญชื่อเวเบอร์ (อาจารย์ใหญ่ผมด้วย)ไปแวะหาอาจารย์สักต่างๆทัวประเทศ (แรกๆเค้างงกันและสงสัย) เค้าเสนอการมรชุมนุมแหงอาจารย์สักทัวภูมิประเทศ แล้วพอทุกคนก็ตีไข่แต่กเห็นว่าไม่ดูถูกกัน ก็เริ่มเป็นครอบครัวใหย่ คนไม่สนใจก็มี แต่ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันคบกันทุกคน ผมที่ไปสำนักสักเป็นหลายๆสำนักแล้ว(และร้านสักด้วย)ก็เห็นที่อาจารย์ทั้งหลายดูเหมือนไม่เป็นมิตรกะอาจารย์อื่น งงสิคับ ผมดีใจมากเวลารู้ว่ามีอาจารย์สักก็วิ่งไปทักเลยให้รู้จักกัน ทำไมก็ต้องหลบหน้ากันด้วย ถ้าเราไม่เคยอวดหรือว่า ว่าอาจารย์อื่นหรือว่าลบหลู่ ก็จะหลบหน้าไม่อยากเจอผู้อื่นที่อาชีพเดี่ยวกันทำไม?? สองอาจารย์ต่างชาติก็พบกันก็ไม่อายกัน แต่สองอาจารย์ไทยก็เหมือนแข่งขันกัน ผมไม่เคยได้เข้าใจเรื่องนี้เลย มีคนมีคำอธิบายให้ผมไมครับ? ว่าทำไมไม่มีชุมนุมอาจารย์สัก น่าจะมีทุกปีเป็นงานใหญ่ ให้พวกอาจารย์จะได้รู้จักกัน เหมือนผบไปตรังก็ไปหาพระทีเป็นเพือนแลกไม้กาฝากรักกับสมิงเหล็กมั่ง ต่อไปผมลงทีชุมพรหาอาจารย์อื่นเจ้าอาวาสวัดที่มีไม้เทพทาโรมาแลกกัสมิงเหลกฯฯ แบบนี้ ถ้าเราเป็นฤษีหรือว่าหมอผี หรือว่าสักยันต์ ถ้าเรามีเพื่อนฝูงในวิชาก็จะมีสายแลกของดี แบะได้ประโยชน์อีกหลายประเด็นครับ ส่วนใหญ่ของทีหลายอาจารย์เอามาใช้สำหรับทำของก็ต้องซื้อหรือว่าให้ลูกศิษยหาให้ครับ กรณีย์ตะกั่วทำตะกรุด ฆรวาสก็หาได้ แต่ของบางอย่างก็หาซื้ของแท้อยาก และถ้าเราไม่มีสายก็จะลำบากในการหาของมาเล่นแร่เล่นธาตุ ผมโชคดีที่พรรคพวกทีผมมีก็มีเป็นพระภิกษุหลายรูปที่มีของดีนานา ว่าผมรู้จักบางอาจารย์ที่ไม่ค่อยจะออกไปหาใครเลย พูดเรื่องนี้ผมก็หันหน้าดูหนังงูเหลือมตายพรายที่มีคนเอามาให้ผมทำตะกรุด มีหนัง5เมตรเลย ยังประกอบพิจารณาอยู่ว่า จะทำตะกรุดแบบไหน แต่คิดว่าจะทำเป็นเมตตามหานิยม เสน่ห ว่างูนีก็ตายพราย




วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ยันต์แหวนพิรอด

ตำนาน แหวนพิรอด เครื่องรางของขลังที่คนโบราณนิยมกันว่าเป็นมงคลอีกอย่างหนึ่งก็คือ "แหวนพิรอด" ในปัจจุบันนี้ค่อนข้างหายาก และอาจารย์ที่ทำดูจะหายากตามไปด้วย นับเป็นวัฒนธรรมเครื่องรางโบราณอีกชนิดหนึ่งที่กำลังจะหายไปกับยุคโลกาภิวัฒ น์ หรือยุคเทคโนโลยี ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะนำพาสังคมไทยไปในรูปแบบใดจะเป็นการสร้างชาติหรือสิ้น ชาติที่หมาย ถึงการสูญเสียวัฒนธรรมเก่าๆไปแลกกับวัฒนธรรมขยะยุคไอ.ที. (I.T.) ที่วัยรุ่นปัจจุบันมักมีพฤติกรรมแปลกให้เห็นอยู่เสมอๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ฝากข้อคิดไว้นิดว่าชาติจะมีความหมายอะไร ถ้าหากเราไม่สามารถรักษาเอกลักษณ์คือวัฒนธรรมเอาไว้ได้ แหวนพิรอดว่ามีสองชนิด ตามตำราไสยศาสตร์นั้นบอกเล่าเรื่องราวของ แหวนพิรอดว่ามีสองชนิด คือชนิดเล็กใช้สวมนิ้ว ชนิดใหญ่ใช้สวมแขน ซึ่งมักเรียกว่า “สนับแขนพิรอด” (ชนิดนี้บางทีทำด้วยโลหะผสมก็มี ตรงหัวทำเป็นเหมือนหัวแหวนพิรอด) ซึ่งสนับแขนนี้เดิมยังใช้เป็นอาวุธของนักมวยในการกอดปล้ำที่เข้าวงใน เพราะแหวนแขนที่ทำจากด้ายดิบหากลงรักจะแข็งและคมซึ่งใช้ถูกับผิวหนังนักมวย ฝ่ายตรงข้ามทำให้เจ็บและไม่อยากเข้าต่อสู้ด้วยการกอดปล้ำเป็นการจำกัดรูปมวย ฝ่ายตรงข้ามเรียกว่าพาให้เขาเข้าทางมวยฝ่ายเราซึ่งทำให้ได้เปรียบในเชิงการ ต่อสู้ ในปัจจุบันจะพบเห็นในการแข่งขันชกมวยไทยแต่ปัจจุบันคงเป็นแค่เครื่อง รางอย่างหนึ่งเท่านั้น วัสดุที่ใช้ทำแหวนพิรอด วัสดุที่ใช้ทำแหวนพิรอดโดยมากทำด้วยกระดาษว่าวกับถักด้วยเชือก ตำนานแหวนพิรอดเมื่อย้อนยุคไปเมื่อสักเกือบศตวรรษนั้นแหวนพิรอดของหลวงพ่อ ม่วง วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชื่อมากขนาด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ (รัชกาลที่๕) ได้ทรงกล่าวถึงอาจารย์ที่สร้างแหวนพิรอดที่ขึ้นชื่อลือชาในสมัยที่พระองค์ ประสพพบเห็นโดยทรงพระราชนิพนธ์บันทึกไว้นี้สองท่านคือ รูปหนึ่งคือเจ้าอธิการเฮง วัดเขาดิน เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ได้นำแหวนพิรอดมาถวายพระเจ้าลูกเธอที่ตามเสด็จ ได้ทรงวิจารณ์ไว้ว่า "เอาแหวนถักพิรอดมาแจกแหวนนั้นทำนองเดียวกับขรัวม่วงวัดประดู่ แต่ขรัวม่วงถักด้วยกระดาษลงรักนี่ถักด้วยด้ายทำเรียบร้อยดี" ซึ่งพอจะคะเนได้ว่าพระเถระทั้งสองรูปน่าจะเป็นเกจิอาจารย์ของเมืองกรุง เก่า(อยุธยา) แหวนพิรอดเดิมทีนั้นใช้วัสดุที่หาได้จากใกล้ๆตัวตามวิถีชีวิตคนในสมัย นั้นคือมักทำด้วยกระดาษว่าว ก็เพราะเป็นกระดาษที่เหนียวแน่นดีกว่ากระดาษชนิดอื่น ลงยันต์แหวนพิรอด เมื่อจะต้องทำลงยันต์แหวนพิรอดในกระดาษยันต์นี้ประกอบด้วยรูปพระภควัม หรือเลขยันต์ตามแต่พระเกจิอาจารย์แต่ละสายจะกำหนดขึ้นซึ่งเรื่องนี้จะเห็น ว่าเป็นกลเม็ดเด็ดพรายตามแต่สำนักใดจะสร้างขึ้น โดยมีความเชื่อกันอยู่อย่างหนึ่งถึงวิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องรางแหวน พิรอดที่สร้างขึ้นว่ามีอิทธิคุณถึงขั้นหรือยังคือเมื่อทำแล้วให้ทดลองเอาไฟ เผาดู



ถ้าไม่ไหม้ก็ใช้ได้ พระอาจารย์ผู้สร้างจึงจะนำมาตกแต่งเพื่อความมั่นคงทนทานและสวยงาม อันแหวนพิรอดนั้นโดยมากมักจะลงรักเพื่อป้องกันความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้แหวนผุง่ายไม่คงทน ลอร์ดออฟเดอะริงค์ อย่างไทยๆ เรา ในตำราไสยศาสตร์นั้นยังระบุอธิบายวิธีใช้ไว้ว่า ถ้าจะเข้าสู้รบทำสงคราม ให้ถือแหวนกระดาษนี้แล้วบริกรรมด้วย "มะอะอุฯ" และถ้าจะให้เป็นตบะเดชะในสงคราม ทำให้ข้าศึกครั่นคร้าม ให้บริกรรมด้วยคาถา "โอม ยาวะ พะกาสะตรีนิสิเหฯ" ว่ากันว่าไม่แต่เพียงศึกมนุษย์ถึงศึกเทวดามาก็ไม่ต้องกลัว ซึ่งคงเป็นแบบเรื่องราวของ “ลอร์ดออฟเดอะริงค์”อย่างไทยๆ เรา ความเป็นมาของเงื่อน เคยได้ยินคนรุ่นเก่าเล่ากันว่า แหวนหลวงพิรอด เรื่องนี้เห็นจะเป็นเพราะลากเข้าความกันมากกว่า เท่าที่อ่านพบจากการสันนิษฐานของนักปราชญ์ชาวตะวันตก(อิตาลี)ที่เข้ามารับ ราชการจนเป็นถึงเจ้ากรมยุทธศึกษาของกองทัพบกไทยคนแรกในการทหารยุคใหม่คือ ยี. อี.เยรินี (พันเอกพระสารสารขันธ์)กล่าวว่า “ชื่อ พิรอด มาจากภาษาสันสกฤตว่า วิรุทธ หรือ พิรุทธ แปลว่า อันขัดกันอยู่ อันได้รับการต่อต้านหรือขัดขวาง อันตรงกันข้ามเมื่อพิจารณาจากลายที่ถัก ก็ใช้ขัดกันแบบเงื่อนลูกเสือที่เรียกกันว่า เงื่อนพิรอด ก็ดูจะสมกับชื่อในภาษาสันสกฤตอยู่มาก เงื่อนพิรอดนั้นเป็นเงื่อนที่ใช้กันมาแต่โบราณนานมาก หลักฐานที่พอจะชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ก็คือรูปสลักหินโบราณของพวกขอม จะเห็นว่าผ้าคาดเอวตรงด้านหน้าทำเป็นเชือกผูกเป็นเงื่อนพิรอดอย่างนี้เหมือน กัน เงื่อนชนิดนี้ยิ่งดึงยิ่งแน่น” คาถาอาคม ที่ใช้กับเงื่อน ขอเกจิอาจารย์ ต่างๆ เงื่อนพิรอดนั้นจัดเป็นเงื่อนสำคัญที่ใช้ในการต่อเชือกหรือการผูกโยง เพื่อความมั่นคงแน่นหนาอย่างวิชาเชือกคาดสายหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบที่ต่อยุคมายังหลวงปู่ธูปวัดแค นางเลิ้ง กทม. ซึ่งพระเกจิอาจารย์ท่านนี้เป็นผู้ทรงคุณวิทยาสูงส่งเฉพาะด้านมหานิยมก็เข้ม ขลังขนาดอมตะดาราอย่าง คุณมิตร ชัยบัญชายังนับถือเป็นลูกศิษย์ซึ่งวงการผู้นิยมเครื่องรางก็ทราบกันดี โดยเชือกคาดสายหลวงปู่ขันนั้นเวลาคาดต้องขัดเป็นเงื่อนพิรอด มีคาถากำกับว่า“พระพิรอดขอดพระพินัย” และเวลาแก้เชือกก็มี คาถาว่า “พระพินัยคลายพระพิรอด” อันจะเห็นได้ว่าศาสตร์การใช้เงื่อนพิรอดนั้นยังสืบมาถึงเครื่องคาดอย่าง เชือกหรือการ ผูกตะกรุด พิสมรซึ่งต้องรวมถึงเครื่องรางโบราณอีกชนิดที่ปัจจุบันไม่ค่อยมีเกจิอาจารย์ สร้างก็คือ “ผ้าขอด” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องพิรอดด้วยโดยผ้าขอดนั้นจะเป็นการขัด “พิรอด เดี่ยว” เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเรื่องผ้าขอดในยุคเก่าๆเช่นหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ จ.อยุธยา หลวงพ่อกวย ชุตินธโร จ.ชัยนาท เป็นต้น ในส่วนเครื่องรางผ้าขอดสายวัดสะแก จ.อยุธยา ก็มีชื่อเช่นกันแต่เป็นฆารวาส ที่ชื่อว่า เฮง ไพรวัลย์ ลอยเรืออยู่ท่าน้ำวัดสะแกบางคนเรียก ว่า อาจารย์เฮงเรือลอยก็มี

กลับไปที่หน้าแรก

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สักยันต์หนุมาน หลายแบบ

ยันต์หนุมานต่างๆ นานาอาจารย์ ชมเลยครับ






หนุมาน ถวายความซื่อสัตย์ต่อพระราม
๔กร หรือ่า... หาวเป็นดาวเป็นเดือน
หนุมานคลุกฝุ่น





จับสุวรรณมัจฉา

กลับไปที่หน้าแรก

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยันต์อริยสัจโสฬสมงคล


ติติอุนิ ติจตฺตาโร วนฺนาทุกฺขํ สมุทโย นิโรโธ คามินีปฏิปทา อปลยญฺญวิถาเน อาคตํวจนํสุภํ
ตโย ธภานาคติเสยยาเญยยา โลกยปทํ รโถภยาปโย อโสกเจติเยคาถาโปราเณหหิ
สุคันฺฐิตา มตฺติกา เจติยํกตฺวา ปกขิปิตฺวาอิมกฺขยํสํคีเตน สุสาธุกํ ทสฺเสตฺวา สนฺจิตา อยํ เยธมฺมา
เหตุปภวา เตสํเหตุํํง ตถาคโตอาหะ เตสนฺจฌยนิโรโธ จเอวํืวาทีมหาสมโนอิติวิตฺถาโร ปนะมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺเตเวทิตพฺโพ
มีตำนานว่า พระคาถา อริยสัจโสฬสมงคล บรรจุอยู่ในพระมหาเจดีย์ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างไวภายหลังนักปราชญ์ฯ จึงผูกเป็นพระยันต์อริยสัจโสฬสมงคลขึ้น โดยถอดความหมายของตัวอกขระ ในคาถา อริยสัจโสฬสมงคล ลงเป็นตัวเลข บรรจุลงในยันต์เป็นรหัส การลงตัวเลขนี้ได้ทำให้การอ่านถอดความหมายออก ได้อีกสารพัด อีกเหลือพรรณา

คาถา อริยสัจโสฬสมงคล
ตโยธภาณาคติเสยยาเญยยาืโลกขยปทํรโถภยาปโย
หรือว่า ถ้าสะกดแบบใหม่
ตะโยธะภาณาคะติเสยยาเญยยาืโลกะขะยะปะทังระโถภะยาปะโย

ยันต์อริยสัจ


นี้คือยันต์อริยสัจ แต่ก็ไม่ใช่ยันต์อริยสัจโสฬสมงคลครับ เป็นยันต์แมตตา ที่มีคงกระพัน ป้อนกันภัย สรรพอาวุธทั้งปวง และป้องกันภูติผีปีศาษ อีกด้วยคับ ยันตนี้มีอำนาจไล่ผีมารร้าย เพราะว่าคาถาตัวอกขระที่มีลิขิดไว้ในยันต์ก็เป็นธรรมะแท้ๆครับ แป็นสัจจธรรม อย่างเลิศ ที่ทำให้มารฟังแล้วต้องหนี เพราะมารก็จะกลัวยอมรับความจริงว่า อนิจจํ ทุกขํ และ อนัตตา 
 คนเรียกยันตนี้ว่าห้ายอดก็มีบ้างครับ แต่ที่แท้จริงก็เรียกว่า ยันต์อริยสัจ

อกฺขระในยันต์
อะ สัง วิ สุ โล , ทุกขํ , ธมฺมา, นิ ติ ติ อุ
กลับไปที่หน้าแรก

สักยันต์ในเวบ

 

blogger templates | Make Money Online