1. ปฐวีกสิน คือ ดิน
2. อาโปกสิน คือ น้ำ
3. เตโชกสิน คือ ไฟ
4. วาโยกสิน คือ ลม
5. นีลกสิน คือ สีเขียว
6. ปิตกสิน คือ สีเหลือง
7. โลหิตกสิน คือ สีแดง
8. โอทาตกสิน คือ สีขาว
9. อาโลกสิน คือ แสงสว่าง
10. อากาสกสิน คือ อากาศ
กสินบัญญัติ 10 ทำแล้ว ได้ผลถึง ฌาน 5 คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน และปัญจมฌาน เมื่อได้ฌานนำไปวิปัสสนา เพื่อพิจารณา กสิน 10 แต่ละอย่างโดยละเอียดยิ่งขึ้น จะเห็นเซลธาตุที่ละเอียดและดูการทำงานของมโนทวารวิถีแต่ละขณะ ๆ ขณะเพ่งกสินจักขุทวารจะทำงาน เพ่งไปเพ่งมาแล้วหลับตา ภาพจะเกิดขัดเจนที่มโนทวาร
กสิน ๑๐ แบ่งกลุ่มได้ ๓ กลุ่ม คือ
๑. กลุ่มภูตกสิน (มหาภูตรูป ๔)
๒. กลุ่มวรรณกสิน (สี ๔)
๓. กลุ่มกสินอื่น ๆ (๒)
อยากรู้เรื่องกสิน ๑๐ ตลอดถึงวิธีปฏิบัติเพิ่มเติม อ่านรายละเอียดได้จาก วิสุทธิมรรค เล่มที่ ๑ หน้า ๑๕๐-๒๑๗ หรือในเว็ปนี้ค่ะ
http://www.praruttanatri.com/v1/member/htm/ks10.html

เรื่องกสินในวิสทธิมรรคกับในพระบาลี(อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต)ก็ยังมีความแตกต่างกันอย
กสินเป็นหมวดหนึ่งของการฝึกกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในกรรมฐาน 40 แต่ผู้เขียนได้นำมาดัดแปลงเพื่อให้เกิดผลในการปฏิบัติโดยเร็วและให้ถูกกับจริตซึ่งถือเป็นอุบายทางธรรม
อย่างหนึ่ง
http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20070822091833AAwR4WG
- ก่อนอื่นหากระดาษสีแดงมาตัดเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้ว (สำหรับใช้แทนดวงกสิน)
- นำไปติดข้างฝาผนังห้องพระ ควรติดให้อยู่ระดับเดียวกับสายตาเพื่อสะดวกในการเพ่ง ระยะเพ่งควรห่างสัก 1 - 2 คืบ
- เวลาเพ่งให้เพ่งไปที่จุดกึ่งกลางของดวงกสินจนสามารถจดจำดวงกสินได้แล้วจึงค่อยหลับตาลง หากไม่เห็นอะไรเลยให้ลืมตาเพ่งใหม่แล้วหลับตาลงจนกว่าจะเห็นดวงกสิน
- คุณจะเห็นดวงกสินสีแดงปรากฎขึ้น หากเห็นเป็นสีดำ สีเขียว หรือสีอื่นๆ ก็ให้เพ่งไปที่จุดกึ่งกลางของดวงกสินต่อไป เมื่อสมาธิเกิดจิตใจสงบมันจะกลายเป็นสีแดงเอง ( การเห็นดวงกสินเป็นสีอื่นๆ นั่นหมายถึงกิเลสของคุณยังหนาอยู่ครับ)
- กำหนดดวงกสินสีแดงให้เกิดขึ้น
และทำให้ดวงกสินดับหรือหายไป ทำแบบนี้หลายๆ ครั้งให้ชำนาญแล้วค่อยฝึกลำดับต่อไป - กำหนดดวงกสินสีแดงให้เล็กลง และทำให้ใหญ่ขึ้น ทำแบบนี้หลายๆ ครั้งให้ชำนาญแล้วค่อยฝึกลำดับต่อไป
- กำหนดดวงกสินสีแดงให้ลอยขึ้นไปอยู่เหนือศรีษะ
แล้วให้ลอยผ่านศรีษะลงไปอยู่ที่หน้าผาก แล้วให้ลอยผ่านไปอยู่ที่หน้าอก แล้วให้ลอยไปอยู่เหนือสะดือ
2 นิ้ว ทำแบบนี้หลายๆ ครั้งให้ชำนาญ แล้วค่อยฝึกลำดับต่อไป (ดวงกสินต้องอยู่กลางกายนะครับ) - กำหนดดวงกสินสีแดงให้สว่างไสวขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นตัวคุณเองอยู่ในกลางดวงกสิน ทำแบบนี้หลายๆ ครั้งให้ชำนาญ ทำทุกวันจนกว่าคุณจะได้สมาธิขั้นสูง
อยากเจอ หลวงปู่ เทพอุดร ต้องทำยังงี้ี้
กสิณสิบ อรูป จึงดำเนิน มุ่งหน้า ยังป่ากว้าง ตามเส้นทาง ยังที่ มุนีสถาน ดาบสรู้ ชัดเจน เห็นด้วยฌาน รอรับการ มาเยือน อย่างยินดี ถึงอาศรม ร่มเย็น ขอเป็นศิษย์ พระบพิตร มีพื้นฐาน จากฌานสี่ อรูปฌาน คือวิชา พระโยคี “มุนีจะ สอนสั่ง จงตั้งใจ จตุฌาน หมั่นซ้อม ย่อมเก่งกล้า เข้าออกได้ ไม่ว่า เวลาไหน กสิณสิบ ฝึกฝน จนขึ้นใจ แล้วต่อไป เข้าสู่ อรูปฌาน คำกสิณ นะหรือ คือเครื่องหมาย ฝึกใจกาย มีอิทธิ ปาฏิหาริย์ ทั้งเหาะเหิน เดินบนน้ำ ตามต้องการ” ท่านอาจารย์ ส่งมือ ให้ถือดิน “มองดินจน จำได้ ดังใจนึก เป็นการฝึก ปฐวีกสิณ จะหลับตา ลืมตาดู รู้สีดิน จนดวงจินต์ จำจับ ไม่ดับไป ภาพสีดิน ค่อยสว่าง กระจ่างขาว แวววาว พราวพร่าง สว่างไสว กำหนดวาง หน้าหลัง ได้ดั่งใจ ให้สูงต่ำ เล็กใหญ่ ได้เช่นกัน อย่างที่สอง ภาวนา อาโปกสิณ เอาน้ำริน ตั้งใส่ ไว้ในขัน มองภาพน้ำ จดจำ เป็นสำคัญ จนจำมั่น เป็นนิมิต แม้ปิดตา เพ่งภาพน้ำ จนใส ดูคล้ายแก้ว เพริศแพร้ว กระจ่าง สว่างจ้า ให้เล็กได้ ใหญ่ได้ อยู่ไปมา อยู่ซ้ายขวา หน้าหลัง ดังใจปอง สามเพ่งไฟ แดงโร่ เตโชกสิณ ใช้ดวงจินต์ จับไฟ ให้แคล่วคล่อง ให้จดจำ ไฟได้ แม้ไม่มอง จนภาพไฟ ผุดผ่อง พรรณราย ภาพสีไฟ สว่างใส ประกายพรึก กำหนดนึก เล็กใหญ่ ดังใจหมาย ให้อยู่ที่ ต่างต่าง อย่างง่ายดาย ใช้ทำลาย เผาผลาญ ด้วยฌานฤทธิ์ อย่างที่สี่ พิจารณา วาโยกสิณ มองใบไม้ ไหวจนชิน ในจินต์จิต แทนสายลม โบกโบย โดยนั่งพิศ จนภาพติด จำประทับ แม้หลับตา จวบภาพเดิม เริ่มคลาย กลายเป็นขาว แพรวพราว พริ้งเพริศ บรรเจิดจ้า จะให้เล็ก ให้ใหญ่ เคลื่อนไปมา เป็นธรรมดา แคล่วคล่อง ตามต้องใจ อย่างที่ห้า เรียกว่า โลหิตกสิณ ดูสีแดง เป็นอาจิณ แล้วจำไว้ อย่างที่หก ปีตกสิณ จงจำไป เพ่งสีเหลือง จนเรืองใส ได้ทุกครา เจ็ดนีลกสิณ อันนี้ เพ่งสีเขียว ทำเช่นเดียว จนสุกใส สว่างหล้า แปดโอทาตกสิณ จินตนา เพ่งสีขาว จนพราวจ้า แจ่มประกาย | เก้าภาวนา อากาสกสิณ ดูความว่าง ไม่สุดสิ้น สิ่งทั้งหลาย จับอากาศ ว่างว่าง สบายสบาย จนกลับกลาย ใสสุก ทุกทิศทาง อาโลกกสิณ คือสุดท้าย ในการฝึก ให้จิตนึก จับรู้ ดูแสงสว่าง นั่งที่มืด มองแสงส่อง จากร่องราง แล้วจับภาพ ทุกอย่าง ในทางเดิม” พระองค์ทรง ตั้งใจ ใฝ่ฝึกหัด สมาบัติ ฌานสี่ ทรงช่วยเสริม จึงสำเร็จ ทุกวิชา มาเพิ่มเติม ทรงอยากเริ่ม เรียนรู้ อรูปฌาน อันกสิณ วิชา สารพัด ทรงแจ้งชัด กฤษดาภินิหาร เรียกลมฝน ไฟคล่อง ถ้าต้องการ เหาะทะยาน เดินบนน้ำ หรือดำดิน จะเสกสิ่ง ใดใด ได้ทั้งหมด ถ้ากำหนด ฌานสี่ ที่กสิณ หากหลงฤทธิ์ อภิญญา มากลืนกิน คงหมดสิ้น หลุดพ้น ทุกหนทาง ท่านอาจารย์ อุทกดาบส เห็นเรียนหมด เร็วจบ ครบทุกอย่าง กสิณสิบ ปฏิบัติ เหมือนจัดวาง จะก้าวย่าง อรูปฌาน ขั้นต่อไป จับกสิณ ชำนาญ เข้าฌานสี่ พอรูปกสิณ คงที่ สว่างไสว จงตัดรูป กสิณ ให้สิ้นไกล เมื่อรูปไร้ เหลือความว่าง สว่างพราว อรูปฌานหนึ่ง พึงเริ่มแล้ว เพ่งอากาศ จนพร่างแพรว ดวงแก้วขาว จะใหญ่เล็ก ห่างใกล้ ได้ทุกคราว สุกสกาว กว้างเกิน ประเมินทราบ แล้วเข้าสู่ อรูปฌานสอง เมื่อจิตมอง เห็นว่า อากาศหยาบ ตัดอากาศ ทิ้งไป ไม่เหลือภาพ จับวิญญาณ ซาบทรง อารมณ์ไว้ พอเริ่มสู่ อรูปฌานสาม ยังเห็นความ รู้สุข รู้ทุกข์ได้ จึงตัดสิ้น วิญญาณ ให้ผ่านไป จับความว่าง เปล่าไร้ เป็นอารมณ์ จึงเข้าสู่ อรูปฌานสี่ ทำไม่มี ความรู้สึก ความรู้สม ไม่รู้ร้อน หิวกระหาย ใครว่าชม ไร้ความจำ ไร้อารมณ์ ไร้วิญญาณ ทรงฝึกฝน เรียนจบ จนครบแล้ว จิตผ่องแผ้ว เปี่ยมสุข เกษมศานต์ แล้วใดเล่า เขาเรียก โพธิญาณ ท่านอาจารย์ จนตรอก บอกไม่รู้ ยกพระองค์ เลิศเลอ เสมอท่าน เชิญร่วมการ สอนศิษย์ ที่มีอยู่ เพราะแจ้งศาสตร์ ทุกอย่าง ไม่ต่างครู ทรงลาสู่ พงป่า พนาไพร ยังรำลึก คุณาจารย์ ท่านทั้งคู่ ถ้าตรัสรู้ เบื้องหน้า เวลาไหน จะกลับมา แสดงธรรม ด้วยน้ำใจ คงรอได้ คอยนับ วันกลับมา |